sahabet305.com
ประสบปัญหาชีวิต เช่นล้มละลาย เป็นหนี้ สูญเสียคนรักกะทันหัน พิการจากอุบัติเหตุ 2. มีพฤติกรรมเปลี่ยนหันมาใช้เหล้าหรือสารเสพติดผิดปกติ 3. มีประวัติคนในครอบครัวเคยฆ่าตัวตาย 4. แยกตัว เก็บตัว พูดจาน้อยลง 5. บ่นนอนไม่หลับเป็นเวลานาน 6. พูดด้วยน้ำเสียงวิตกกังวล สีหน้าเศร้าหมอง 7. พูดหรือบ่นว่าอยากตาย ไม่อยากมีชีวิตอยู่ ซึ่งปัจจุบันมักจะระบายอารมณ์นี้ในโซเซียลมีเดียบ่อยๆ เช่นเฟซบุ้ค อินสตาแกรมของตัวเอง 8. มีอารมณ์แปรปรวนผิดหูผิดตา เช่นจากเดิมเคยเศร้าเป็นสบายใจร่าเริงผิดปกติ 9. เคยพยายามฆ่าตัวตายมาก่อน 10. มีการวางแผนเตรียมฆ่าตัวตายไว้ล่วงหน้า เช่นจัดการทรัพย์สิน พูดฝากฝังคนข้างหลัง เป็นต้น หากพบผู้ที่มีพฤติกรรมและอารมณ์ที่กล่าวมา ขอให้รีบเข้าไปพูดคุย ช่วยเหลือ สอบถามโดยเร็ว อย่าคิดว่าเป็นเรื่องปกติ ส่วนผู้ที่มีปัญหา อย่าอาย สามารถโทรปรึกษาสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ตลอด 24 ชั่วโมง นายแพทย์ณัฐกรกล่าวต่อว่า กรณีสื่อมวลชนและคนทั่วไป หากมีคลิปหรือภาพเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย ไม่ควรแชร์หรือเผยแพร่อย่างเด็ดขาด ทั้งนี้เพื่อเป็นการรักษาสิทธิของบุคล และป้องกันการเลียนแบบการฆ่าตัวตายซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้
ประสบปัญหาชีวิตบางอย่าง โดยเฉพาะคนที่เจอกับความพลิกผันหนัก ๆ หรือเหตุการณ์สะเทือนใจ เช่น ล้มละลาย สิ้นเนื้อประดาตัว สูญเสียคนรักกะทันหัน ผิดหวังกับการงาน การเรียน หรือต้องตกอยู่ในสถานะคนพิการจากอุบัติเหตุ เป็นต้น คนในกลุ่มนี้มีแนวโน้มค่อนข้างสูงที่จะรู้สึกท้อแท้กับชีวิต รู้สึกเครียดสะสม หรือไม่สามารถปรับตัวต่อการแก้ไขปัญหาในชีวิตได้ จนอาจนำไปสู่การคิดสั้นด้วยอารมณ์ชั่ววูบ 2. ใช้สุราหรือยาเสพติด ถ้าพบว่าคนใกล้ตัวหรือตัวเราเองมีพฤติกรรมดื่มสุรา หรือใช้สารเสพติดทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคย หรืออาจจะเคยแต่ช่วงหลังมานี้เริ่มดื่มหนักขึ้น หรือเสพมากขึ้น นั่นอาจเป็นสัญญาณที่บอกว่าเขากำลังเครียดหนัก และไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร จึงอาจใช้เหล้าและสารเสพติดเพื่อคลายกลุ้ม 3. มีประวัติคนในครอบครัวฆ่าตัวตาย หากมีประวัติคนในครอบครัวฆ่าตัวตาย ก็เป็นไปได้สูงว่าสมาชิกในครอบครัวคนอื่นอาจคิดสั้นและทำร้ายตัวเองได้ ฉะนั้นต้องเฝ้าระวังให้ดีค่ะ 4. แยกตัว ไม่พูดกับใคร บางคนอาจไม่โวยวาย ไม่ตัดพ้อ แต่กลับมีพฤติกรรมเก็บตัว ชอบอยู่คนเดียวมากขึ้น พูดจาประหยัดคำกว่าเดิม และดูไม่ค่อยอยากสุงสิงกับใครแม้กระทั่งเพื่อนและคนในครอบครัว 5.
ชะลอหรือผัดผ่อนยืดเวลาที่จะทำลายชีวิตตัวเองออกไป โดยสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำลายชีวิตของตัวเองในตอนนี้ ไม่ว่าคุณจะรู้สึกทุกข์ ทรมานใจมากเพียงใด ควรเว้นระยะห่างของช่วงเวลาระหว่างความคิดและการกระทำ อาจเป็นวัน เป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือน ไม่มีความจำเป็นที่คุณต้องทำให้ความคิดเรื่องการฆ่าตัวตายเป็นเรื่องจริงและไม่มีใครเป็นผู้กำหนด ขีดเส้นตายหรือผลักดันให้คุณต้องทำตามความคิดเหล่านี้ในทันที 5. ฝึกปล่อยวางความคิด หมั่นสังเกตใจตนเองว่ามันคิดอะไร ถ้าคิดแล้วทุกข์ก็ฝึกปล่อยวาง เป็นการเว้นวรรคความคิดอย่างหนึ่ง โดยหัดดึงใจกลับมารับรู้อยู่กับลมหายใจ หายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ ฝึกทำไปเรื่อยๆคุณจะเกิดความรู้ว่า แม้แต่ใจของตัวเอง จะพยามประคองให้มีสติอยู่กับปัจจุบัน กับลมหายใจก็ยังยาก เพราะฉะนั้นการจะไปเปลี่ยนความคิดและการกระทำของคนอื่นจึงเป็นสิ่งที่ยากยิ่งกว่ามากนัก ความคิดอยากฆ่าตัวตายก็เป็นเพียงแค่ความคิดถ้าเราไม่สนใจมันก็จะผ่านไป 6. ออกกำลังกายอย่างจริงจัง และมากมากเท่าที่คุณทำได้อย่างปลอดภัย และไม่เกิดอันตรายใด ๆ กับร่างกาย เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากการออกกำลังกายคุณควรตั้งเป้าหมายไว้ที่ 30 นาทีต่อวัน โดยอาจเริ่มต้นจากการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง 10 นาที 3 ครั้งต่อวัน ซึ่งการออกกำลังกายจะส่งผลดีต่อเรื่องอารมณ์ ช่วยปรับอารมณ์ให้รู้สึกดีขึ้นและผ่อนคลาย 7.
จัดตารางชีวิตประจำวัน เขียนตารางชีวิตประจำวันว่าต้องทำอะไร เวลาไหนในทุกๆวันและพยามทำตามแผนที่วางไว้ให้มากที่สุดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แม้ว่าบางครั้งคุณอาจรู้สึกไม่อยากทำก็ให้ลงมือทำเพราะคุณจะรู้สึกดีขึ้นที่สามารถเอาชนะใจตนเองได้ และมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้นจากการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ มีกฎเหล็กที่ต้องระลึกไว้เสมอในการทำตามแผนตารางชีวิตประจำวัน คือ ขี้เกียจก็ทำ ขยันก็ทำ การฝืนใจทำในสิ่งที่มีประโยชน์ต่อชีวิตตัวเองนั้น มักให้ผลลัพธ์ที่ดีและคุ้มค่าเสมอ ข้อมูลจาก โรงพยาบาลจิตเวชนครสวรรค์ราชนครินทร์, ผศ. นพ. พนม เกตุมาน ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล, กรมสุขภาพจิต -------------------- เกาะติดสถานการณ์โควิด-19 ทันความเคลื่อนไหว ได้ความรู้ที่ถูกต้อง ส่งตรงถึงมือคุณ คลิกเลย!! >>> รู้ทันกันโควิด <<< หรือ กด *301*35# โทรออก ข่าวที่เกี่ยวข้อง "โควิด-19" ทำให้เครียดหรือเปล่า? รับมือให้ทันก่อนจะเครียดเพราะโควิด ติดโควิดใครว่าไม่เครียด! รู้วิธีจัดการความเครียดสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 แนวทางให้กำลังใจผู้ป่วยโควิด-19 โรคร้ายที่ไม่มีโอกาสได้บอกลาก่อนเสียชีวิต อย่าปล่อยให้เครียด!
จากเหตุกระโดดน้ำฆ่าตัวตายที่สะพานพระราม 8 กรมสุขภาพจิตชี้ "ฆ่าตัวตาย" ป้องกันได้ แนะประชาชน ญาติ เพื่อนสนิท จับตา 10 สัญญาณเตือน โดยเฉพาะผู้ที่เคยมีประวัติพยายามฆ่าตัวตายแล้วไม่สำเร็จ คาดมีปีละกว่า 40, 000 คน โอกาสทำซ้ำจะสูง จากกรณีที่มีชายอายุประมาณ 26 ปี กระโดดน้ำฆ่าตัวตายที่สะพานพระราม 8 เมื่อช่วงบ่ายวานนี้ ( 5 สิงหาคม 2561) นั้น นาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า กรมสุขภาพจิตได้ประมาณการว่าในปีหนึ่งๆ ในประเทศไทยจะมีผู้พยายามทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตาย ( Attempt suicide)ประมาณร้อยละ 0. 1 ของผู้ที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป หรือปีละประมาณ 53, 000 คน ในจำนวนนี้กระทำการสำเร็จประมาณ 4, 000 คน อีกกว่า 40, 000 คนที่พยายามทำร้ายตนเองแล้วไม่สำเร็จและมีโอกาสกลับไปทำร้ายตัวเองซ้ำใหม่สูงกว่าคนทั่วไป คนที่พยายามฆ่าตัวตายจัดเป็นผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิตรุนแรงประเภทหนึ่ง ยังไม่ใช่เป็นคนป่วย ต้องได้รับการช่วยเหลือแก้ไขที่ต้นเหตุ อย่างไรก็ตามจากการรวบรวมข้อมูลของศูนย์ป้องกันการฆ่าตัวตายระดับชาติ รพ. จิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิต พบว่า ผู้ที่ทำร้ายตัวเองซ้ำมีโอกาสฆ่าตัวตายสำเร็จมากกว่าผู้ที่ทำร้ายตัวเองครั้งแรก โดยหากประเทศไทยสามารถป้องกันการทำร้ายตัวเองซ้ำได้อย่างครอบคลุม จะสามารถลดจำนวนผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จได้มากถึงปีละ 350-400 คน หรือคิดเป็น 0.