sahabet305.com
ธุรกิจจำเป็นต้องมีสินค้าคงคลังไว้เพียงพอเพื่อให้มีการลงทุนในสินค้าคงคลังน้อยที่สุดให้เพียงพอแก่การผลิตและการขาย รวมถึงให้มีสินค้าคงคลังที่อยู่ในสภาพพร้อมที่จะใช้ในการผลิตการขาย และการใช้งานได้ตลอดเวลาที่ต้องการสำหรับการดำเนินงานตามปกติ ดังนั้น กิจการจึงควบคุมสินค้าคงเหลือในคลังสินค้าให้มีอยู่ ณ ระดับหนึ่ง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายรวมทั้งหมดต่ำกว่าระดับอื่น ๆ เรียกว่า ระดับสินค้าคงเหลือที่ประหยัด โดยกิจการมีความจำเป็นต้องบริหารสินค้าคงคลัง (พิภพ ลลิตาภรณ์. 2543: 3) ดังนี้ 1. เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งและการผลิต 2. ปรับให้เกิดความสมดุลระหว่างความต้องการที่เกิดขึ้นและการจัดการสินค้าคงคลังเข้ามาเก็บไว้ในคลัง การขาดสมดุลไม่ว่าจะมีความต้องการสูงกว่าปริมาณที่จัดหาเข้ามาเก็บไว้ในคลังหรือจัดหาสินค้าข้ามาเก็บไว้ในคลังมากกว่าความต้องการย่อมหมายถึงการมีสต็อกมากเกินไปหรือเกิดการขาดสต็อก 3. เพื่อให้การผลิตสามารถดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง โดยพิจารณาสินค้าคงคลังเป็นส่วนหนึ่งของการผลิต 4. เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดที่มีความไม่แน่นอน ทำให้มีสินค้าตอบสนองลูกค้าอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้การที่กิจการเก็บสินค้าคงคลังไว้ในกิจการแล้ว คลังสินค้ายังมีความจำเป็น ดังนี้ 1.
การรับรู้รายการของสินทรัพย์ สาระสำคัญคือ ควรรับรู้ในงบแสดงฐานะการเงิน โดยเงื่อนไขว่า มีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ที่กิจการจะได้ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคต และมีราคาทุนหรือมูลค่าที่สามารถวัดได้อย่างน่าเชื่อถือ 2. การรับรู้รายการของหนี้สิน สาระสำคัญคือ ควรรับรู้ในงบแสดงฐานะการเงิน โดยมีเงื่อนไขว่า มีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ที่กิจการจะสูญเสียประโยชน์เชิงเศรษฐกิจของทรัพยากรเพื่อชำระภาระผูกพันในปัจจุบัน และมูลค่าของภาระผูกพันที่ต้องชำระนั้นสามารถวัดได้อย่างน่าเชื่อถือ 3. การรับรู้รายได้ สาระสำคัญคือ การรับรู้ในงบกำไรขาดทุน มีเงื่อนไขว่า มีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่เมื่อประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคตเพิ่มขึ้นเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์หรือลดลงของหนี้สิน และสามารถวัดมูลค่าประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคตได้อย่างน่าเชื่อถือ (ยกตัวอย่างเช่น การที่สินทรัพย์ของกิจการเพิ่มขึ้น เมื่อมีการจำหน่ายสินค้าหรือให้บริการ หรือ หนี้สินลดลงเมื่อเจ้าหนี้ยกหนี้ให้) 4.
ใช้ในการตัดสินใจเลือกใช้กลยุทธ์ต่างๆ ให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของธุรกิจ และสถานการณ์ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม 2. ใช้ข้อมูลไปวางแผนปฏิบัติงานทั้งระยะสั้น และระยะยาว โดยแผนปฏิบัติงานระยะสั้นคือแผนที่มีระยะเวลาการปฏิบัติการประมาณ 1 ปี หรือน้อยกว่า เป็นการวางแผนเพื่อให้ครอบคลุมและเป็นไปตามเป้าหมายปฏิบัติการหรือแผนปฏิบัติการที่วางไว้โดยปกติ สำหรับแผนปฏิบัติงานระยะยาวเป็นการวางแผนในอนาคต เพื่อให้ธุรกิจมีความเจริญเติบโตและมั่นคง เป็นการวางแผนเพื่อเพิ่มและพัฒนาศักยภาพ การวางแผนระยะยาว จะคำนึงถึงอนาคตข้างหน้าไม่ต่ำกว่า 5 ปีขึ้นไป โดยแผนระยะสั้นจะต้องสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับแผนระยะยาว 3. ใช้ข้อมูลในการจัดการ เพื่อกำหนดวิธีปฏิบัติงานภายในองค์กรให้มีความราบรื่นและมีประสิทธิภาพ 4. ใช้ข้อมูลในการกำหนดผลตอบแทนให้กับพนักงานอย่างเป็นธรรมเนื่องจากทำให้เห็นถึงสถานภาพทางการเงิน และสถานะทางธุรกิจ ซึ่งก่อให้เกิดความเข้าใจและมีความจงรักภักดีต่อองค์กร รวมถึงความรู้สึกถึงความมั่นคงในอนาคต 5. ใช้ข้อมูลเป็นเครื่องมือในการควบคุมการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ ทั้งแผนระยะสั้นและแผนระยะยาว รวมทั้งใช้ในการตัดสินใจในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น หรือใช้ในการประเมินผลการปฏิบัติงาน เพื่อปรับปรุงแผนที่วางไว้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
ปีนี้ผลประกอบการออกมาแล้วว่าฐานะทางการเงินของธุรกิจกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นหากต้องการพัฒนาธุรกิจให้ใหญ่โตไปอีกเหมาะมากในช่วงนี้ บัญชีบริหารประเมิณและควบคุมได้ 2. เมื่อมีการตรวจสอบบัญชีแล้วเห็นว่ากิจการมีผลกำไรมาก จึงได้มีการเพิ่มโบนัสให้แก่พนักงาน ถือเป็นการให้กำลังใจคนทำงาน ทำให้ธุรกิจจะดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ 3.
การเสวนาความสำคัญ และ บทบาทของนักบัญชีนิติวิทยา ต่อยุทธศาสตร์ชาติด้าน AML/CFT และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง | สภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์ (สำนักงานใหญ่) ขอเชิญเข้าร่วมรับฟังการเสวนาความสำคัญ และ บทบาทของนักบัญชีนิติวิทยา ต่อยุทธศาสตร์ชาติด้าน AML/CFT และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ในวันอังคารที่ 22 กรกฎาคม 2564 เวลา 09. 30 – 11. 30 น. ผู้ร่วมเสวนา คุณพีรธร วิมลโลหการ - ผู้อำนวยการกองกำกับและตรวจสอบ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ดร.